วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

ดวงดาวดวงใหม่



ทุก ๆวันในช่วงเวลาแห่งการพักผ่อน อารมณ์มีความสุขได้กลับมาอีกครั้ง หลังจากที่เปิดโทรทัศน์ จะมองเห็นภาพเด็กผู้หญิงลูกครึ่งน่ารัก กับทรงผมมัดผม 2 แกละ ลีลาท่าทางของเธอช่างพูดช่างเจรจาในสินค้าโฆษณา “รสดี” กับท้ายประโยคว่า “ รู้มั้ยพ่อกำลังกินผู้ช่วยแม่อยู่…” หรือ “เห็นไหมพ่อ หมูฉึกๆ” ซึ่งเป็นโฆษณาสินค้าที่กำลังโด่งดังและท๊อปฮิตในโลกสังคมออนไลน์ จนทำให้โฆษณาตัวนี้เป็นที่ถูกใจของประชาชนทั่วไปอย่างไม่มีใครเทียบความน่ารักของสาวน้อยคนนี้ได้
เด็กหญิงคนนี้ เธอมีชื่อว่า เฟลิซเซีย ณัฐษณา บุชเช่อร์ ชื่อเรียกว่า น้องลิซซี่ เธอเป็น ลูกครึ่งไทย – อังกฤษ มีอายุได้ 4 ขวบกว่าๆแล้ว แต่ความสามารถของเธอกลับไม่ธรรมดาเมื่อเทียบเคียงกับเด็กอายุวัยใกล้เคียงกัน เธอเกิดเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2548 ชีวิตในวัยเด็กจะใช้ชีวิตอยู่ในมหาวิทยาลัย และคุ้นเคยอยู่กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เนื่องจากมีคุณแม่เป็นอาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ ภาคชีววิทยา ส่วนคุณพ่อเป็นนักวิจัยซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านแมลง ทั้งคู่ทำงานอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ความน่ารักน่าชังของลิซซี่ ประกอบกับความกล้าแสดงออก ทำให้เธอเข้าวงการบันเทิงได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นนางแบบถ่ายปกหนังสือ โฆษณาแปรงสีฟันโคโดโมะ ข้าวหงษ์ทอง ถุงเท้าคาร์สัน มิวสิควีดีโอ Lazy Sunday ดีอย่างไร feat. ที Jetset'er แล้วล่าสุดเป็นโฆษณารสดี ที่มีพ่อแม่นั่งทานอาหารในบ้าน และแม่บอกเคล็ดลับวิธีทำกับข้าวให้อร่อยให้ลูกฟัง โดยลูกสาวทำเสียงคนแก่ล้อเลียนว่า “งั้น... วันหลังหนูจะทำให้คุณตากับคุณยายกินนะค๊า... …” ใครได้ชมโฆษณารสดี จะอดที่จะชื่นชมในความสามารถ แก่นแก้วน่ารักของเด็กคนนี้ไม่ได้ นอกจากนี้โฆษณารสดีเรื่องที่สอง น้องลิซซี่ก็ทำท่าทางเลียนเสียงคุณยายได้อย่างน่าหมั่นเขี้ยว ความน่ารัก น่าชังนี้เองเป็นเหตุทำให้เข้าตากรรมการอย่าง นก-จริยา แอนโฟเน่ ได้ทาบทามให้น้องลิซซี่ได้เล่นลองละครเรื่องแรก นั่นคือ 365 วันแห่งรัก ที่มีนักแสดงพระเอก นางเอกอย่างเคน-ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์และ แอน ทองประสม ในเรื่องนี้ น้องลิซซี่ต้องเล่นเป็นลูกของ บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี และต้น จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์ และล่าสุดก็งานละครอย่าง บริษัท สร้างสุข ที่มีเนื้อหา เรื่องราวที่น่าสนใจ คลายเครียด จึงกลายเป็นทางเลือกใหม่ของคนชอบดูละครแนวใสๆ เนื้อเรื่องได้สะท้อนถึงเนื้อหาซิทคอมที่สร้างเสียงหัวเราะให้กับคนทั้งประเทศ ในเรื่องนี้น้องลิซซี่เล่นเป็นลูกสาวของ เจ-เจตรินกับ นิโคล เทริโอ ซึ่งละครเรื่องนี้ได้ออกฉายเมื่อเสาร์ที่ผ่านมาเป็นตอนแรก

ตอนนี้น้องลิซซี่ หรือแสบ ใครๆที่พบเธอต้องพูดออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า เธอเป็นเด็กฉลาด แก่น ซน ช่างเจรจา ช่างซักช่างถาม เหมือนในโฆษณาก็ไม่ผิด ทำให้เธอสามารถเรียกคะแนนความน่ารัก น่าชังจากคนดู ประชาชนทั่วไปหันมาคลั่งไคล้กับความน่ารักของสาวน้อยคนนี้ จนทำให้มารดาอย่างดร.บัณฑิกา อารีย์กุล บุทเชอร์ ต้องรีบทำเว็บไซต์เพื่อคนรักน้องโดยเฉพาะ ดังรายละเอียดที่ http://www.facebook.com/pages/Felicia-Butcher/273599918077 เพื่อให้บรรดาแฟนคลับมากมายของน้องลิซซี่ได้ติดตามความเคลื่อนไหว ข่าวสารน่ารักๆ ของสาวน้อยคนนี้ ใครๆได้เข้าไปพูดคุย พบปะ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและดูภาพเด็กหญิงคนนี้ใน Facebook แล้วจะพบว่าความสุขเล็กๆได้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง

วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

งานมหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่นปี2553



งานมหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่นปี2553

สัปดาห์ที่ผ่านมาและสัปดาห์หน้าที่ใกล้จะถึง เป็นช่วงเวลาที่ครูในโรงเรียนสังกัดกรมการปกครองส่วนท้องถิ่นเตรียมตัวเข้าร่วมการแข่งขัน เตรียมตัวไปศึกษาดูงาน เพราะกรมการส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นได้จัดงานมหกรรมการจัดการศึกษาส่วนท้องถิ่น ประจำปี 2553 ซึ่งในปีนี้ก็มีการแข่งขันแบบต่างๆมากมาย ไม่ว่าเป็นโครงงาน สุนทรพจน์ นวัตกรรมทางการศึกษา ร้องเพลงพระราชนิพนธ์พร้อมจินตลีลา งานประดิษฐ์ร้อยมาลัย เป็นต้น การจัดงานเป็นการเปิดโอกาสให้ครู นักเรียน และประชาชนทั่วไปได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในงานที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้ด้วย
มหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่นปีนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 กรกฎาคม 2553 ถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2553 ที่อาคารชาเลนเจอร์ 2 เมืองทองธานี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ภายใต้งานที่มีชื่อว่า “ ฝันให้ใหญ่ ใช้ชิวิตให้เป็น” มีวัตถุประสงค์ในการจัดงาน คือ เพื่อประชาสัมพันธ์เผยแพร่ผลงานให้บุคคลทั่วไปได้รับทราบถึงศักยภาพขององค์กรการศึกษา ส่วนท้องถิ่น เปิดโอกาสให้บุคคลในองค์กรมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างสถานศึกษาในแต่ละท้องถิ่น และกระตุ้นให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้พัฒนาศักยภาพในการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพ และได้รับมาตรฐาน โดยได้กำหนดรูปแบบการจัดงาน แบ่งได้เป็น 4 ส่วน ได้แก่
ส่วนที่ 1 การจัดนิทรรศการทางวิชาการ
ส่วนที่ 2 การเสวนาทางวิชาการ
ส่วนที่ 3 การแสดงบนเวที
ส่วนที่ 4 การประกวดแข่งขันทางวิชาการ
ในส่วนของโซนที่ 4 เป็นโซนของการประกวดแข่งขันทางวิชาการ ซึ่งตัวข้าพเจ้าเองในฐานะครูผู้สอนกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ได้มีโอกาส มีส่วนร่วมในการเข้าประกวดแข่งขันในครั้งนี้ด้วย โดยข้าพเจ้าได้เป็นหนึ่งในตัวแทนระดับภาคกลาง นำสื่อนวัตกรรมทางการศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคม ศาสนา และวัฒนธรรม ใช้ชื่อสื่อว่า “ แผนที่หรรษา พัฒนาการเรียนรู้” เป็นสื่อประสมรูปแบบของชุดการเรียนที่ใช้เทคโนโลยี ผสมผสานให้เข้ากับเกมการศึกษา เพื่อให้ผู้เรียนได้มีโอกาสเรียนรู้ในเรื่องราวของจังหวัด ภาคต่างๆของประเทศไทย โดยใช้สาระภูมิศาสตร์เป็นสาระหลักในการจัดทำสื่อการเรียนการสอนครั้งนี้ และมุ่งเน้นให้ผู้เรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีความรู้ความเข้าใจเรื่องของจังหวัด ภาค และประเทศของตนเอง ทั้งเชิงประวัติศาสตร์ ลักษณะ ทางกายภาพ สังคม ประเพณี และวัฒนธรรมรวมทั้งการเมืองการปกครอง และสภาพ เศรษฐกิจโดยเน้นประเทศไทย ซึ่งตรงกับคุณภาพของผู้เรียนตามกลุ่มสาระ
การจัดทำสื่อนวัตกรรมทางการศึกษาครั้งนี้ มีระยะเวลาที่ค่อนข้างจำกัด เนื่องจากภาระหน้าที่ในการทำงาน การเรียนที่ควบคู่กัน แต่ตัวผู้จัดทำและคณะก็จะพยายามทำหน้าที่ในการประกวดนวัตกรรมทางการศึกษาครั้งนี้ให้ดีที่สุด เพราะถือว่าเป็นประสบการณ์และเป็นโอกาสอันดีในการได้เข้าร่วมการประกวดนวัตกรรมทางการศึกษาระดับประเทศ
หลังจากได้ประกวดสื่อการการเรียนการสอนและนวัตกรรมการศึกษา ผลการตัดสินจากคณะกรรมการจำนวน 3 ท่าน ที่มาจากมศว. ในปีนี้ ได้รับรางวัลเหรียญทองแดง หรือที่เรียกว่า รองชนะเลิศอันดับ 2 ซึ่งเป็นความภาคภูุมิใจเล็กๆ ของตัวผู้เขียนเอง ที่ได้มีโอกาสในการส่งผลงานเข้าร่วมการประกวดระดับประเทศ

วันเสาร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ดวงตา ดวงใจ

อวัยวะทุกส่วนในร่างกายต่างก็มีความสำคัญสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และดวงตาก็เป็นอวัยวะที่สำคัญไม่แพ้อวัยวะใดในร่างกาย

ดวงตาเป็นอวัยวะสำคัญและซับซ้อนที่สุดอวัยวะหนึ่งของมนุษย์เรา ดวงตาทำหน้าที่ในการมองเห็น มีหลายคนเปรียบดวงตาว่าเป็น "หน้าต่างสู่โลก" หากไม่มีดวงตา มนุษย์เราก็ไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆรอบกายได้ ข้าพเจ้าเคยได้อ่านนักจิตวิทยาท่านหนึ่งกล่าวว่า ประมาณกันว่า 70 – 80 % ของสิ่งที่มนุษย์เรารับรู้ และเรียนรู้ ได้มาจากการมองเห็น การมองเห็นที่ชัดเจน จึงมีความสำคัญมากในการมีชีวิตอยู่อย่างปกติสุข การมีสุขภาพสายตาที่ดี และปกติทำให้เรามองเห็นโลกใบนี้ได้อย่างสดใส ทำให้เราสามารถทำงาน อ่านและเขียนหนังสือ หรือไปไหนมาไหนได้สะดวก ดังนั้นเราจึงควรรู้จักถนอมสายตา รักษาดวงตาคู่นี้ของเราไว้ให้ดีที่สุด เพราะหากเกิดปัญหากับสายตาก็จะมีผลต่อคุณภาพชีวิตของเรา แต่ในปัจจุบันมนุษย์ใช้สายตาในการทำงานอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นวัยเด็ก วัยรุ่น วัยทำงานต่างก็ใช้สายตาในการอ่านหนังสือ เขียนเอกสาร นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ฯลฯ จนบางครั้งจะทำให้เกิดอาการตาแห้งได้ โดยอาการดังกล่าวเกิดจากเมื่อเวลาทำงานใช้สายตามากๆ จะทำให้เรากระพริบตาได้น้อยลง ดังนั้นน้ำตาที่หล่อเลี้ยงในตาแห้งไป
หากปล่อยทิ้งไว้จนมีการระคายเคืองที่บริเวณเบ้าตามาก จะทำให้เกิดอาการน้ำตาไหลไม่หยุด เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงอาการดังกล่าว ในขณะทำงานควรกระพริบตาบ่อยๆ เมื่อรู้สึกว่ามีอาการตาแห้ง หยอดน้ำตาเทียมและพักสายตาทุกๆ 20 นาทีหรือ
การป้องกันอาการปวดตาจากการใช้สายตามากเกินไปคือพักสายตาโดยการหลับตาหรือมองออกไปไกลๆ หรือหาแนวทางการป้องกันและดูแลสุขภาพทางสายตาดังนี้

1.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยการกินอาหารครบ 5 หมู่ จะได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน รวมทั้งวิตามินที่จำเป็นต่อการมองเห็น

2. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

4. หากมีปัญหาในการมองเห็น เช่นมองไกลไม่ชัด ต้องหรี่ตาหรือกระพริบตาบ่อยๆ ปวดศีรษะเมื่อใช้สายตา ควรได้รับการตรวจสายตา และแก้ไขโดยการใช้แว่นสายตา หรือ คอนแทคเลนส์

5.อ่านหนังสือ และทำงานในที่ๆมีแสงสว่างพอเพียง พักสายตา 5 – 10 นาทีหลังใช้สายตาติดต่อกัน เกิน 1 ชั่วโมง ตัวหนังสือเล็กๆควรหลีกเลี่ยง และไม่อ่านหนังสือขณะไฟส่องหน้า

6. ดูทีวีห่างจากจอประมาณ 4 เท่าของขนาดจอทีวี และจอทีวีควรอยู่ในระดับสายตา หรือต่ำกว่า เปิดไฟในห้องให้สว่างเพียงพอ

7.หลีกเลี่ยงการมองหรือจ้องคลื่นแม่เหล็กจากเครื่องใช้ไฟฟ้าเช่นเตาไมโครเวฟ เครื่องถ่ายเอกสาร ฯลฯ

8.เวลาที่เศษผงเข้าตาห้ามขยี้ตาเด็ดขาดแต่ให้คุณล้างตาด้วยน้ำสะอาดหรือหยอดน้ำยาล้างตาแทน

9.ทุกครั้งที่ลงเล่นน้ำในสระว่ายน้ำควรสวมใส่แว่นตาว่ายน้ำทุกครั้งเพื่อป้องกันคลอรีนหรือเศษผงเข้าตา

10.ควรระมัดระวังการละเล่นหรือทำกิจกรรมต่างๆที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อดวงตา

11.ในกรณีที่สารเคมีเข้าตา ควรล้างตาด้วยน้ำสะอาด แล้วไปพบจักษุแพทย์โดยด่วน

12.ควรไปตรวจวัดสายตาเป็นประจำอย่างน้อยปีละครั้ง
หากเราปฎิบัติตามทั้ง 12 ข้อดังกล่าวมาข้างต้นนี้ ทำให้เราทราบเรื่องราวดี ๆ มีประโยชน์ เหมาะแก่คนทั่วไปจะได้รู้วิธีการปฏิบัติ วิธีการถนอมดูแล รักษาดวงตาที่ง่ายๆ ซึ่งเราไม่ควรมองข้ามสิ่งจำเป็นเหล่านี้ไป ก่อนที่เราจะเสียดวงตาคู่เดียวของเราไป ถ้าเราหมั่นดูแล รักษาดวงตาอยู่เสมอ เพียงเท่านี้จะทำให้เรามีดวงตาที่สดใส มีสุขภาพสายตาที่ดีอยู่คู่กับเราไปนานๆ

ซาฟารีเวิลด์ อาณาจักรแห่งความสุข"





เมื่อเอ่ยถึงเดือนมิถุนายน เด็กๆหลายคนที่เรียนโรงเรียนเทศบาลในจังหวัดราชบุรี ต่างก็มีความสุข เนื่องจาก เป็นฤดูกาลของการได้ออกเดินทางไปท่องเที่ยวทัศนศึกษา ซึ่งการที่จะได้ไปเที่ยวจะไกลหรือใกล้ก็แล้วแต่แต่ละโรงเรียนเป็นผู้กำหนด

ปลายเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงเวลาที่งบประมาณส่วนท้องถิ่นได้จัดสรรงบให้แต่ละโรงเรียนได้พานักเรียนไปเรียนรู้นอกสถานที่ คณะครูในโรงเรียนต่างร่วมกันกำหนดสถานที่โดยดูตามระดับชั้นว่า นักเรียนระดับชั้นเด็กๆ ตั้งแต่ประถมศึกษาปีที่ 1-6 ควรจะไปทัศนศึกษาในสถานที่ใด ผลปรากฏออกมาว่า ซาฟารีเวิลด์ มีเสียงสนับสนุนมากที่สุด เนื่องจากหลายๆคนมองเห็นว่า สภาพพื้นที่ของซาฟารีเวิลด์ตั้งอยู่ไม่ไกลจากจังหวัดราชบุรีมากนัก การเดินทางค่อนข้างสะดวก ภายในมีแหล่งเรียนรู้ตามธรรมชาติที่น่าให้นักเรียนได้เข้าไปเรียนรู้ และสัมผัสธรรมชาติของสัตว์นานาชนิด น่าจะทำให้นักเรียนได้เข้าใจเรื่องราวของธรรมชาติได้มากยิ่งขึ้น เมื่อใกล้ถึงวันที่เด็กๆนักเรียนจะได้ไปเที่ยวหรือทัศนศึกษาครั้งนี้ เด็กๆต่าง มีความรู้สึกดีใจ แสดงอาการตื่นเต้นที่จะได้ไปเที่ยวซาฟารีเวิลด์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ในดวงใจของเด็กๆ และแล้วเมื่อวันเดินทางได้มาถึง เชื่อไหมคะว่า บรรดาผู้ปกครองต่างมารอส่งลูกอยู่เต็มหน้าโรงเรียนตั้งแต่เช้ามืด มีการเตรียมอาหาร น้ำ เครื่องดื่มอื่นๆมากมาย ทุกสิ่งได้บรรจุลงในกระเป๋าสะพายของนักเรียน เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของนักเรียนทำให้ครูทุกคนต่างมีความสุขที่ได้นำนักเรียนออกไปเรียนรู้สู่โลกกว้าง เมื่อรถได้วิ่งเคลื่อนออกจากโรงเรียนไปประมาณ 2ชั่วโมงครึ่ง ถึงซาฟารีเวิลด์ คุณครูก็ได้ให้เจ้าหน้าที่มาแนะนำการปฏิบัติตามกฎของทางซาฟารีเวิลด์อย่างเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัยแก่ตนเอง และจัดเวลาการเข้าชมการแสดงในโซนของมารีนปาร์คก่อน เพราะการแสดงโชว์ มีเพียงวันละ 1 รอบการแสดงเท่านั้น ซึ่งเด็กๆและนักท่องเที่ยวที่มาชมไม่ควรพลาด ถ้าพลาดจะเสียดายอย่างมาก การแสดงในโซนมารีนปาร์คนั้น ประกอบด้วย โชว์ของสัตว์โลกผู้น่ารักมากมายทั้งโชว์อุรังอุตัง โชว์สิงโตทะเล โชว์โลมา โชว์วาฬขาว โชว์นก โชว์ช้าง โชว์ให้อาหารหมีขาว ซึ่งการแสดงโชว์ทั้งหมดนี้บรรดาเด็กๆและนักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสกับสัตว์แสนรู้ผู้น่ารักได้อย่างใกล้ชิด

เมื่อการแสดงแต่ละชุดจบลงบรรดานักท่องเที่ยวที่มาชมต่างมีความรู้สึกสนุกตื่นเต้นมาก

เหมือนอย่างที่ฉันรู้สึก สัตว์แสนรู้ต่างๆได้ออกมาโชว์การแสดงความสามารถพิเศษที่แสดงให้เห็นว่าบรรดาสัตว์เหล่านั้นต่างได้รับการฝึกฝนจากครูฝึกมาเป็นอย่างดี สัตว์เหล่านี้สามารถปฏิบัติตามคำสั่งของครูฝึกได้อย่างน่ารัก เรียกเสียงปรบมือและรอยยิ้มจากผู้เข้าชมได้ตลอดเวลาของการแสดง

นอกจากเด็กๆนักเรียนจะได้ชมการแสดงโชว์แล้ว ก่อนเดินทางกลับโรงเรียน ครูได้นำนักเรียนนั่งรถบัสของซาฟารีซึ่งเป็นรถปรับอากาศเย็นสบายพร้อมผู้บรรยายที่เชี่ยวชาญพาชม สวนสัตว์เปิดที่นักท่องเที่ยวสามารถนำรถยนต์ส่วนตัวเข้าเที่ยวชมได้ นั่นก็คือ ในส่วนของ ซาฟารีปาร์ค ในส่วนนี้มี 7โซนด้วยกัน ได้แก่ โซนที่หนึ่ง"โซนยีราฟ" ซึ่งมีบรรดายีราฟตัวเล็ก ตัวใหญ่ ประมาณ 50-60 ตัว ,โซนที่สอง "โซนกวางและแอนทีโลป" โดยสัตว์สองชนิดนี้มองผิวเผินจะคล้ายกัน แต่กวางจะมีเขาแค่เพศผู้ ส่วนแอนทีโลปจะมีเขาทั้งสองเพศถัดไปโซนที่สามเป็นโซนอันตราย แต่หลายๆคนกลับโปรดปราน นั้นคือ "โซนสิงโต" ที่ ได้รับฉายาว่าเป็นเจ้าแห่งป่า โซนที่สี่ "โซนเสือเบงกอล" ที่ มาจากรัฐเบงกอล ประเทศอินเดีย โซนที่ห้า "โซนผสมระหว่างเสือและสิงโต"โซนนี้มีการจัดให้สัตว์ทั้งสองชนิดมาอยู่ด้วยกัน และอาจมี การผสมพันธุ์กันเองตามธรรมชาติ โซนต่อไปเป็น "โซนที่หกหมีควายและหมีดำแคนนาดา" ซึ่ง หมีควายจะมีสัญลักษณ์ตรงคอ คือ ขนที่คอของหมีควายจะมีสีขาวเป็นรูป ตัววี ในภาษาอังกฤษ ระหว่างที่ขนทั่วตัวจะมีสีดำ ส่วนหมีแคนนาดามักจะอาศัยอยู่ใกล้น้ำ และโซนสุดท้ายคือ โซนที่เจ็ดในส่วนของซาฟารีปาร์ค คือ "โซนควายป่าแอฟริกาและนกยูง"

เมื่อนักเรียนและนักท่องเที่ยวได้ชมทั้ง 7โซนของส่วนที่เป็นซาฟารีปาร์คแล้ว รถบัสก็จะมาส่งบริเวณหน้าสำนักงานซาฟารีเวิลด์ และทุกท่านก็อำลาเจ้าหน้าที่ พร้อมกับกล่าวคำขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่พร้อมจะมอบเรื่องราวดีๆในซาฟารีปาร์คเล่าสู่กันฟัง ได้สาระประโยชน์มากมาย การได้ชมแสดงและโชว์สนุกๆในมารีนปาร์ค ทำให้พวกเราซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวต่างดีใจ และมีความสุข พร้อมจะเก็บเรื่องราวดีๆ รอยยิ้ม และความประทับใจในการมาเยือนซาฟารีเวิลด์และยอมรับในสโลแกนของซาฟารีเวิลด์ ว่าเป็น " ดินแดนหรืออาณาจักรแห่งความสุข"

วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ราชินีแห่งผลไม้ไทย


ในบรรดาผลไม้ไทยต่างๆที่เราได้ประสบพบเห็น และได้ลองลิ้มชิมรสพบว่า มังคุด เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่ได้รับการยกย่องให้เป็น "ราชินีแห่งผลไม้" เนื่องด้วยรูปร่าง รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ถ้ามองจากลักษณะภายนอก รูปร่างกลมเกลี้ยงของผลที่มีกลีบเลี้ยงติดอยู่ด้านบนของผลคล้ายมงกุฎของ พระราชินี ประกอบกับเนื้อด้านในที่มีสีขาวนวล สะอาด รสชาติหวานอร่อย จึงทำให้มังคุด เป็นผลไม้ที่ได้รับการยอมรับจากใครๆหลายคนได้ไม่ยาก

นอกจากความที่ได้เป็น ราชินีแห่งผลไม้แล้ว มังคุดยังให้สารอาหารที่มีประโยชน์ต่างๆมากมายแก่ร่างกายอีกด้วย ถ้าเป็นประโยชน์ด้านสารอาหารพบว่า ในเนื้อสีขาวของมังคุดนั้น มีสารอาหารจำพวกวิตามินซีสูง มีไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหาร หากเรารับประทานอาหารแล้วไม่ย่อย ท้องผูกเป็นประจำ แนะนำให้รับประทานมังคุด เมื่อรับประทานมังคุดเข้าไปแล้ว เส้นใยอาหารในตัวมังคุดนี้ก็จะไปเกาะเป็นก้อน ดึงเอาสารก่อมะเร็งในไขมันน้ำตาลที่อยู่ระหว่างมื้อออกไปทางอุจจาระ ส่วนถ้าเป็นประโยชน์ในทางธรรมชาติบำบัด พญ.ลลิตา ธีระสิริ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญธรรมชาติบำบัด ศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี กล่าวว่า มังคุดมีรสชาติอร่อยแล้วยังมีสรรพคุณทางยา โดยเนื้อสีขาว ใช้เป็นยาแก้ร้อนใน บำรุงกำลัง ส่วนยางที่มีสีเหลืองๆ ที่ปนกับเนื้อจะช่วย แก้ท้องเสีย ส่วนเปลือกมังคุด เราสามารถนำไปตากแห้งแล้วทำการฝนกับน้ำปูนใส จะสามารถใช้ในการรักษาแผลที่มีหนอง หรือแผลพุพอง หรืออีกวิธีหนึ่ง โดยการนำเปลือกมังคุดมาฝนกับน้ำใช้กินแก้ท้องเสียได้อีกด้วย นอกจากนี้เปลือกมังคุด ยังให้คุณค่าเป็นสรรพคุณทางยาในการรักษาโรคเกี่ยวกับผิวหนัง สิวต่างๆ บรรเทาอาการผดผื่น แก้คัน วิธีนำเปลือกมังคุดไปใช้รักษาโรคก็ง่ายๆดังนี้ โดยการนำเปลือกมังคุดแห้งมาต้มน้ำอาบ หรือใช้น้ำต้มเปลือกมังคุดทาบริเวณที่มีอาการ และด้วยคุณสมบัติดังกล่าวนี้เอง เปลือกมังคุดจึงถูกดึงมาเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น สบู่ที่ช่วยบรรเทาโรคผิวหนัง สบู่รักษาสิวฝ้า ดังที่ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มัลลิกา ชมนาวัง ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำวิจัยเรื่อง "โครงการสมุนไพรเพื่อใช้รักษาสิว" โดยศึกษาจากสมุนไพรจำนวน 19 ชนิด 1 ในบรรดาสมุนไพร 19 ชนิด มีมังคุดรวมอยู่ด้วย จากการทดสอบและการทำงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ พบว่า สารในเปลือกมังคุด ที่มีรสฝาด จะมีสารที่เรียกว่า แทนนิน(tannin)ซึ่งมีฤทธิ์สมานแผลช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น สารแซนโทน(Xanthon)ช่วยยับยั้งเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนังได้ และสารที่มีชื่อเรียกเฉพาะชื่อเดียวกับมังคุดว่า แมงโกสติน (Mangostin) มีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบ และต้านแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง สารชนิดนี้มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อสิวได้และยังออกฤทธิ์ต้านเชื้อสิว อักเสบได้ดี นอกจากนี้ยังพบว่า สารสกัดมังคุดช่วยลดรอยแผลเป็นของสิวอักเสบสูงถึงร้อยละ77.8 ผู้ที่สนใจในเรื่องการรักษาสิว สามารถทำครีมแต้มสิวจากเปลือกมังคุดได้ง่ายๆ มีสูตรส่วนผสมดังนี้ เปลือกมังคุดสด 10 ผล, ดินสอพอง 1 ช้อนชาวิธีทำ ขั้นแรก ล้างเปลือกมังคุดให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปใส่ในเครื่องคั้นน้ำผักผลไม้ จะได้น้ำเปลือกมังคุดเข้มข้น จากนั้นผสมดินสอพองในน้ำเปลือกมังคุดกะให้เหลวเล็กน้อยใช้ครีมเปลือกมังคุดหลังล้างหน้าทุกครั้ง แต้มหัวสิวด้วยโลชั่นเปลือกมังคุด จะทำให้สิวยุบลง นอกจากนี้เคล็ดลับในเลือกที่เราสามารถไปเลือกซื้อมังคุด ควรเลือกมังคุดที่เปลือกนิ่มเล็กน้อย จะได้น้ำมาก หากมีเปลือกมังคุดปริมาณมาก สามารถนำไปตากแห้งแล้วบดเป็นผงเวลาใช้ให้ต้มกับน้ำเล็กน้อย กรองเอากากออก จะได้น้ำเปลือกมังคุดเข้มข้น และนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆได้มากมาย

เมื่อได้อ่านสรรพคุณในตัวผลไม้ที่ชื่อมังคุดแล้ว จะเห็นได้ว่าเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ทั้งเปลือกนอกและเนื้อด้านใน เปลือกช่วยเป็นยาแก้ท้องเสีย แก้ท้องร่วงเรื้อรัง นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณในการสมานแผล รักษาโรคผิวหนัง เช่น กลากเกลื้อน บรรเทาอาการผดผื่น ช่วยให้แผลหายเร็ว ส่วนเนื้อช่วยในเรื่องการขับถ่าย และยังได้สารอาหาร วิตามินและเกลือแร่อื่นๆ อีกหลายชนิด จะเห็นได้ว่า ผลไม้ชนิดนี้มีรสชาติอร่อยและมีประโยชน์ครบสูตรจริงๆ เราควรหันมาบำรุงและใส่ใจสุขภาพด้วยผลไม้ไทยกันดีกว่าเพื่อร่างกายของเราจะได้แข็งแรงสมบูรณ์

วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เครียดที่ใจ ทำไมเป็นแผลที่กระเพาะ


สังคมเมืองในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่ต่างมีวิถีชีวิตที่แข่งขันกับเวลา และทานอาหารไม่ตรงต่อเวลา ก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ โดยเฉพาะ “โรคเครียดลงกระเพาะ” ซึ่งเป็นโรคฮิตที่ทำให้เกิดอุปสรรคในการทำงาน ส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆตามมา
แนวทางการดูแลสุขภาพ เพื่อไม่ให้เป็นโรคฮิตนี้ คือ เราจะต้องป้องกันไว้ดีกว่าแก้ และทำความรู้จักเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวข้องกับโรคนี้ ตั้งแต่สาเหตุของโรค อาการ และแนวทางการป้องกันความเครียด โดยแพทย์หญิงเพ็ญแข แดงสุวรรณ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคกระเพาะอาหาร กล่าวว่า ความเครียด เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อาการโรคกระเพาะอาหารกำเริบ เพราะในขณะที่เราเครียด ระบบประสาทอัตโนมัติ จะไปกระตุ้นต่อมหมวกไต ให้หลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีนออกมาในปริมาณมากกว่าปกติ ส่งผลให้ร่างกายมีการตื่นตัวตลอดเวลา และเมื่อคนเกิดความเครียด ฮอร์โมนเหล่านี้ จะไปกระตุ้นให้กระเพาะอาหารทำงานและหลั่งน้ำย่อยออกมามากกว่าปกติ จนเกิดอาการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร ซึ่งจะก่อให้เกิดอาการปวดท้อง แน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียนได้ สร้างความทรมานให้กับผู้ป่วยอยู่ตลอดเวลา เพราะโรคนี้หากรักษาไม่หายขาด จะมีอาการเป็นๆหายๆ ดังนั้นหากเรารู้สึกว่า เริ่มมีอาการเครียดในเรื่องต่างๆมากมาย จนทำให้เกิดอาการ เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ มีอาการมึนงง หงุดหงิด รำคาญใจอยู่บ่อย ๆ และอยากอยู่คนเดียว ให้รู้ไว้เลยว่า คุณกำลังเกิดอาการเครียดซึ่งเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่ามีโอกาสป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหาร นอกจากนี้อาการที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเป็นโรคกระเพาะอาหาร ได้แก่
1.รู้สึกปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ มักปวดเวลาท้องว่าง และอาการปวดเหล่านี้จะลดหรือหายไปเมื่อเรารับประทานอาหาร
2.มีอาการปวดท้องหลังจากรับประทานอาหารไปแล้ว 2-3 ชั่วโมง เนื่องจาก ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นเวลาที่กระเพาะอาหารของเราเริ่มย่อยอาหาร
3. รู้สึกแน่นท้อง ท้องเฟ้อ อาจเกิดจากการรีบกินอาหาร การกลืนอาหารเร็วเกินไป ซึ่งส่งผลให้กระบวนการย่อยอาหารในกระเพาะเกิดความแปรปรวน
4. หากมีอาการปวดท้องรุนแรง เช่น หายใจแรงก็ปวด ถ่ายท้อง อาเจียนหรืออุจจาระออกมาเป็นเลือด และมีสีดำตลอดเวลา ให้รู้ไว้เลยว่า อาการอยู่ในขั้นอันตราย ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาด่วน หากช้าเกินไป อาจเกิดอาการกระเพาะอาหารทะลุหรือเลือดออกทางเดินอาหารได้
อาการทั้ง 4 ข้อนี้เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นอันตรายของโรคกระเพาะอาหาร ที่มีสาเหตุมาจากความเครียด ดังนั้นเราควรป้องกัน เพื่อมิให้เกิดอาการดังกล่าวโดย รับประทานอาหารให้ตรงเวลา และให้ครบ 3 มื้อ สำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้ว ในระยะแรกให้ฝึกการกินอาหารที่ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก ฯลฯ ทั้งนี้ควรงดอาหารที่มีรสจัด เช่น เปรี้ยวจัด เค็มจัด นอกจากนี้ ควรเลิกสูบบุหรี่ และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหมด รวมทั้ง ชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง และน้ำอัดลม เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กระเพาะอาหารอักเสบ และอาจทำให้โรคกระเพาะอาหารที่เป็นอยู่กำเริบหนักขึ้น สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ การหากิจกรรมคลายเครียด สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การออกกำลังกาย เช่น วิ่ง เดินเร็ว ขี่จักรยาน เต้นแอโรบิก หรือทำสมาธิ อ่านหนังสือ เป็นต้น ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ หากปฏิบัติเป็นประจำจะช่วยลดความเครียด และในระยะยาวยังสามารถรักษาโรคกระเพาะอาหารให้หายขาดได้
จะเห็นได้ว่า ปัญหาที่เกิดในตัวมนุษย์ที่สะสมขึ้นทุกๆวัน ได้แก่ ปัญหาจากความเครียด เช่น ความเครียดจากการทำงาน การเรียน ครอบครัว ฯลฯ นอกจากความเครียดแล้วยังส่งผลทำให้เกิดโรคต่างๆตามมา โดยเฉพาะโรคกระเพาะอาหาร หรือที่เรียกว่า โรคเครียดลงกระเพาะ ดังนั้นเราในฐานะผู้ที่กำลังจะเผชิญกับความเครียดในไม่ช้า จึงควรรับรู้ และเตรียมความพร้อมที่จะเผชิญกับโรคนี้ก่อนที่มันกำลังจะเกิดขึ้น ในปัจจุบันเราสามารถศึกษาข้อมูล เอกสาร ตำรา โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ วารสาร บทความ และช่องทางการสื่อสารได้หลากหลายช่องทาง เพราะสังคมสมัยนี้เป็นสังคมแห่งการออนไลน์ ทำให้เราสามารถรับรู้ช่องทางการสื่อสารได้หลากหลากแนวทางมากยิ่งขึ้น โดยผ่านสื่อเป็นตัวประกอบ สิ่งที่ควรศึกษาเกี่ยวกับความเครียด ได้แก่ สาเหตุ อาการ ผลกระทบและโรคที่จะได้รับตามมา การได้รับรู้ก่อนที่จะเกิดโรค ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี และมีประโยชน์ต่อตัวผู้อ่าน ผู้เรียน ผู้ที่ทำงาน อีกทั้งบุคคลทั่วไปที่อยู่ในสังคม ไม่จำกัดเพศ วัย อายุ ด้วยวิธีการเขียนที่ทำให้ผู้อ่าน อ่านแล้วเข้าใจง่าย จะทำให้เราสามารถศึกษาเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน มีแนวทางในการนำไปปรับใช้หากเราเกิดโรคนี้ เหมือนกับคำพูดที่ว่า “ป้องกันไว้ดีกว่าแก้”